เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ม.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาธรรมะบอกว่าต้องให้หยุด เวลาโลกนี้มันเคลื่อนไป ธรรมะบอกว่าต้องหยุด หยุดแล้วมันถึงจะเห็นสภาวะความเป็นจริง ถ้าเราก้าวเดินอยู่ เราวิ่งอยู่ เราจะไม่เห็นสิ่งใดเลย เราต้องหยุด แต่การหยุด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทรมานองคุลิมาล องคุลิมาลกำลังเข้าใจผิดอยู่ กำลังจะฆ่าคนให้ได้ ๑,๐๐๐ นิ้ว นี่ได้ ๙๙๙ นิ้วแล้วฆ่าคนมา จะเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป กำลังเข้าใจว่าจะเอานิ้วที่สุดท้าย พยายามไล่กวดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา แต่ด้วยฌาน ด้วยอำนาจกำลังของพระพุทธเจ้า เคลื่อนไปตลอดเวลา ไล่กวดอย่างไรก็ไล่กวดไม่ทัน

บอกว่า “สมณะหยุดก่อน หยุดก่อน”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุดต่างหาก”

เวลาวิ่งไปเพื่อจะประหัตประหาร เพื่อจะเอานิ้วให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว แต่เอาไม่ทัน นั่นน่ะเคลื่อนที่โดยความเร็ว แล้วให้หยุดก่อน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราหยุดแล้ว แต่เธอยังไม่หยุด”

นั่นน่ะหยุดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่หยุดการกระทำ หยุดการต่างๆ หยุดในเรื่องของการทำบาปอกุศลทั้งหมด แต่จะเริ่มทำบุญกุศล เห็นไหม การเคลื่อนไป การหยุดนะ หยุดเฉพาะเรื่องบาปอกุศล แต่เรื่องบุญกุศลยังเคลื่อนไปอยู่ ไปทรมาน องคุลิมาลเคลื่อนไหวอยู่ แต่เคลื่อนไหวด้วยการกระทำ เคลื่อนไหวด้วยการอยากได้ อยากจะให้ครบตามความปรารถนาของตัว ต้องหยุดก่อน นี่สำนึกตัวเองเลยนะ หยุดแล้ววางดาบลงเลย แล้วขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรพชา บรรพชาแล้วถึงได้พยายามประพฤติปฏิบัติเข้ามา จนพระองคุลิมาลก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง หยุดทั้งจากภายนอกและหยุดทั้งจากภายในด้วย

ของเรานี่เรายังไม่หยุดจากภายนอก ถ้าเราจะหยุดจากภายนอก เราต้องหยุดความคิดของเราก่อน ถ้าเราจะหยุดความคิด สรรพสิ่งเคลื่อนไหวไป มันไม่เป็นธรรม มันไม่เป็นธรรมเพราะว่ามันเป็นความคิดของเรา มันเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์คือความคิดของเรา ความเห็นของเรา มันจะบวกความเห็นของเราเข้าไปตลอดเวลา มันต้องหยุดสิ่งนี้ให้ได้ก่อน ถ้าคนไม่เคยประพฤติปฏิบัติ มันจะว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมเพราะเราประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ แต่เริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติธรรม เราประพฤติปฏิบัติมาด้วยความอยากของเรา ด้วยความอยาก ด้วยตัณหา ด้วยความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากมันเคลื่อนไปพร้อมกับว่ามันเป็นธรรม มันคลุกเคล้ากันไป ถึงต้องทำสัมมาสมาธิ

การทำความสงบของใจ การประพฤติปฏิบัติ ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นปัญญา เราต้องเคลื่อน ต้องใช้ปัญญา ถ้าเราใช้ปัญญาของเราไป มันเป็นสภาวธรรม สภาวธรรมส่วนหนึ่ง สภาวธรรมส่วนที่ทำแล้วเราสบายใจ เราทำแล้วเราจะมีความสบายใจ เพราะสิ่งต่างๆ เราเคลื่อนไหวไปเราไม่เคยเห็นตัวตนของเรา เราไม่เคยเห็นความคิดของเรา แล้วความคิดเป็นนายของเราตลอด มันเคยเป็นนายเรามาตลอดตั้งแต่เกิดมาจนปัจจุบันนี้

ความปรารถนา คนเกิดขึ้นมาต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ในชีวิตนี้ต้องการประสบความสำเร็จ ต้องหาวิชาชีพต่างๆ มันก็เคลื่อนไหวมาตลอดเวลา มันไม่เคยตามความเห็นของตัวเองทัน แล้วพอเรามาเคลื่อน เรามาพิจารณาความเห็นของเรา ความเกิดดับของใจ เราเห็นความเกิดดับของใจ เห็นว่าทัน มันก็มีความสบายใจมีความพอใจ เพราะเราทันตัวเราเอง เหมือนกับเราโดนหลอกมาตลอด กิเลสมันหลอกเรามาตลอดเลย แล้วเราไม่เข้าใจเรื่องกิเลสหลอกเราตลอด เราก็เคลื่อนตามกิเลสไป พอเรามาเห็นหน้ากิเลส เห็นไหม คนนี้หลอกเราแล้วจะหลอกเราไม่ได้อีก เราก็มีความพอใจ

แต่การหมุนไป เห็นไหม สัมมาสมาธิ ความเคลื่อนไปของจิต จิตมันหมุนออกไป มันมีพลังงานของมัน มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้ามันหยุดเฉยๆ ความหยุดอันนี้มันหยุดกันในความรู้เท่า ถ้าหยุดในความรู้เท่า มันจะมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหน เพราะว่าอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ทำอย่างนี้มาแล้ว ฌานสมาบัติมีมาก่อนสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ นี่มีมาก่อนแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขามา ความรู้เท่าของเราพอเกิดก็เป็นพวกฤๅษีชีไพร สิ่งที่เป็นฤๅษีชีไพร เห็นไหม ก่อนสมัยพุทธกาลมาก็มีคนถือศีล ๘ มาแล้ว ศีลมันมีมาโดยดั้งเดิม ศีล สมาธิ โดยสมัยนั้นมันมีมาอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครใช้ปัญญาได้ เพราะปัญญาอันนี้มันลึกซึ้ง

ความลึกซึ้งของเรา เราก็ทำได้ เราเป็นนักบวชนะ ปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้แล้ว เราก็ทำแบบฤๅษีชีไพรกัน เราทำความเห็น เราเท่าทันกิเลสของเรา เท่าทันความคิดของเราว่าอันนี้เป็นธรรมๆ สิ่งนี้มันก็เหมือนกับอาฬารดาบสเท่านั้นเอง ปัญญามันยังไม่เกิด ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิด ปัญญาในการรอบรู้ในกองสังขาร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ในนวโกวาทบอกไว้แล้ว ปัญญาในธรรมของเราคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร แล้วกองสังขารมันเกิดดับ เราเข้าใจว่ากองสังขารมันเกิดดับ เราเข้าใจไหม เราเข้าใจตามความเป็นจริง เราเข้าใจตามความเห็น เหมือนกับเราไปซื้ออาหาร เราไปที่ร้านอาหาร เราซื้ออาหาร เราได้อาหารมา แต่เราปรุงอาหารเป็นไหม? เราปรุงอาหารไม่เป็น เพราะอาหารเราซื้อมา

นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นสภาวะการเกิดดับ เพราะเราศึกษาธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วเราก็เห็นความเกิดดับของใจ แล้วปัญญาเราเกิดไหม ปัญญาเกิดคือปัญญาในธรรม ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาในการรื้อค้น ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้เราต้องทำความสงบของใจ มันถึงจะเป็นปัญญาขึ้นมา ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมา มันเป็นปัญญากลาง สิ่งที่เป็นกลาง มัชฌิมาปฏิปทา นี่ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป

ถ้าตึงเกินไป เราก็พยายามบีบ เราพยายามค้นคว้าให้ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มัชฌิมาปฏิปทา หรือเรานอนใจ เราเห็นมันเกิดดับ เราดูสภาวะมันเกิดดับ การเกิดดับนี้เป็นสัมมาสมาธิ เห็นสภาวธรรม สิ่งใดที่เป็นสภาวธรรม นามรูปสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น รู้ในปัจจุบัน มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเข้าใจความเกิดดับแล้วมันปล่อยวางมาเฉยๆ สิ่งที่ปล่อยวางนี้มันปล่อยวางโลกมา ปล่อยวางโลกมามันก็หยุด ผู้ที่หยุด หยุดแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ หยุดแล้วเราก็มาเฝ้ากองกิเลสไว้ เราไม่สามารถชำระกองกิเลสได้ ถ้าสิ่งนี้สติยับยั้งขึ้นมา มันหยุดได้ เราพยายามทำให้หยุดบ่อยครั้งเข้าๆ ความสงบของใจขึ้นมา

หยุดทีหนึ่งเราก็มีความสบายใจทีหนึ่ง เราปล่อยวางอารมณ์เข้ามา เราจะมีความสบายใจ เราจะมีความสุขใจของเราส่วนหนึ่งๆ ถ้าทำบ่อยครั้งเข้ามันจะตั้งมั่น ถ้าสัมมาสมาธิเกิดขึ้นตั้งมั่น เราจะยกขึ้นวิปัสสนา สิ่งที่ยกขึ้นวิปัสสนา เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยสภาวะตามความเป็นจริง ไม่ใช่เห็น กาย เวทนา จิต ธรรมด้วยการนึกเอา ด้วยการอนุโลมเอา อนุโลมความคิดตามเห็นสัญญาไป สิ่งที่เป็นสัญญาไปเป็นสัญญาทางโลก

เราปล่อยวางโลกเข้ามา น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา จิตนี้สงบขึ้นมาแล้วเราจะเห็นตัวปลา ปลานี้จะเห็นถ้าน้ำใสเข้ามา น้ำขุ่นนี่ไม่เห็นตัวปลาเลย อารมณ์เราขุ่นมัว เราไล่เข้ามาจนมันใสขึ้นมา แล้วมันจะเห็นตัวปลา นี่โดยธรรมชาติบอกไว้ว่าเห็นตัวปลา เราต้องค้นคว้าหาปลาตัวนั้น หาปลาคือหาปลาที่ว่า ตัวปลาคือกิเลสในหัวใจ แต่ปลาตัวนั้นมันเป็นตัวเริ่มต้นความคิด เห็นไหม

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเกิดสังขาร อวิชชา ปัจจยาการ ถึงเกิดสังขาร ถึงเกิดความคิด อวิชชานี้เป็นการเริ่มต้นของความคิด เริ่มต้นของการกระเพื่อมออกไป แล้วเราจะเห็นได้ไหม? เราจะเห็นไม่ได้เพราะเราไม่มีสัมมาสมาธิ แล้วเราไม่ย้อนกลับเข้ามา พลังงานมันส่งออก ความคิดมันส่งออกไปข้างนอก ความคิดมันหาสิ่งต่างๆ ออกมา มันไม่ย้อนกลับเข้ามา

ถ้าเราย้อนกลับเข้ามา เราต้องตั้งใจน้อมนึกเข้าไปว่าอันไหนเป็นกาย เห็นกาย ยกขึ้นเห็นกายให้ได้ ถ้ายกขึ้นเห็นกาย สิ่งที่เห็นกาย นั่นน่ะเห็นกายโดยความเป็นจริง เป็นจริงคือตาในเห็นกาย ไม่ใช่ว่าเราเห็นกายจากภายนอก เห็นกายจากภายนอกมันก็เหมือนเห็นสภาวะนามรูป สิ่งที่เป็นนามรูปเราคิดเป็นนามรูป คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนทุกข์คนยากเราเห็นแล้วเราสลดสังเวช สลดสังเวชแล้วมันปล่อยวางเข้ามา เราก็เป็นอย่างนั้น นี่สภาวธรรมเกิด เราเข้าใจว่าเป็นสภาวธรรมเกิด แต่เป็นสภาวธรรมแบบโลกียะ เป็นสภาวธรรมแบบเรื่องโลก เป็นสภาวธรรมที่ว่ามันเป็นกิเลสพาทำ

สิ่งนั้นถ้ามันปล่อยวางเข้ามาๆ จนเป็นธรรมพาทำ มันต้องหยุดตรงนี้ให้ได้ หยุดตรงนี้แล้วขุดค้นขึ้นมา ขุดค้นชำระกิเลส มันถึงหยุดได้ทั้งหมด หยุดกิเลสขับเคลื่อนใจด้วย นี่หยุดจากภายนอกเข้ามาแล้วหยุดจากภายใน ผู้ที่ปล่อยวางจนสภาวะนิ่งอยู่ ไม่โต้ตอบสิ่งต่างๆ การทำบาปทำกรรม ทำกับผู้ที่เสมอกัน เราเป็นโลกด้วยกัน เราทำกรรมด้วยกัน เราทำร้ายกัน บาปกรรมก็ส่วนหนึ่ง

แต่ผู้ที่หยุดแล้ว หยุดแล้วคือหยุดจากกิเลสในหัวใจด้วย แล้วเราทำกรรมกับสิ่งนั้น ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด ฆ่าพระอรหันต์เป็นความทุกข์อย่างมาก เป็นกรรมมหาศาล เป็นอนันตริยกรรมเลย สิ่งที่เกิดแล้วมันเป็นโทษมากกับความคิดอันนั้น แต่เรายังไม่สามารถทำให้ใจเราหยุด เราจะไม่เห็นสภาวธรรมของใจเรา ว่าพระอรหันต์เกิดขึ้นจากตรงไหน พระอรหันต์เกิดขึ้นจากการชำระกิเลสของหัวใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วก็สั่งสอนโลกมาอีก ๔๕ ปี ก็เหมือนมนุษย์เหมือนกัน เหมือนคนเราใช้เหมือนกัน แต่พระอรหันต์นี่เป็นเพราะใจมันขุดกิเลส หยุดกิเลส ขุดกิเลสขึ้นมาชำระล้างจนกิเลสออกไปจากใจ ถ้าเรายังเห็นสภาวะการเกิดดับ เราปล่อยวางความเกิดดับมา มันปล่อยวางมาเฉยๆ แล้วมันไปทะนุถนอมไว้ เหมือนไก่กกไข่เลย ไก่กกไข่ เห็นไหม ความอบอุ่นของไก่ไปถนอมกิเลสไว้ ไก่กกไข่ ไก่มันต้องออกมาจากฟองของไข่แน่นอนเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราไปให้ความอบอุ่นกับกิเลส เราปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วก็ไปกกกิเลสไว้ให้กิเลสมันอบอุ่น คอยแต่ว่าเมื่อไหร่มันฟื้นตัวขึ้นมา มันก็จะให้โทษกับเรา เวลาจิตเสื่อมไง สภาวะจิตนี้เสื่อมไป เวลาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมานี่มีความสุขมาก ปล่อยวาง สติเราทันตลอดไป อย่างนี้กิเลสมันรู้เท่าแล้ว พอรู้เท่า ต่อไปอาการกระทบมันจะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะยับยั้งไม่ทัน สิ่งที่ยับยั้งไม่ทันเพราะอะไร เพราะกิเลสมันรู้เท่า อันนี้กิเลสมันไม่ได้โดนชำระไปเลย มันอยู่ในหัวใจของเรา มันต้องทำสภาวะแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วก็ไปกกมันไว้ กกให้มันแข็งตัวขึ้นไป กกให้มันเข้มแข็งขึ้นมา พอมันเข้มแข็งขึ้นมา มันก็ย้อนมากัดเรา

ย้อนมากัดเราว่า “ทำแล้วสภาวะก็เป็นธรรมอยู่อย่างนี้” แล้วพอจิตมันเสื่อมขึ้นมา “สภาวธรรมน่าจะไม่มีแล้ว” นี่กิเลสมันเริ่มกัดแล้ว มันจะกัดให้เราด้อยค่าไป เราไม่เชื่อในสภาวธรรม พอเราไม่เชื่อในสภาวธรรม เราจะท้อถอย สิ่งที่ท้อถอย นี่เข้าทางกิเลสเลย เราทำให้มันเข้มแข็งขึ้นมาในหัวใจของเราเอง แล้วเราก็เห็นสภาวะมันเสื่อมไปตามความเป็นจริง มันต้องเสื่อมไปตามความเป็นจริงแน่นอนเลย

เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมนี้เป็นสภาวะที่เราอาศัยดำเนินไป สภาวธรรมนี้เหมือนกับสิ่งที่ว่ามันเป็นทางอันเอก มัคโค เป็นทางอันเอก สภาวธรรมเคลื่อนไป สิ่งนี้เป็นทางอันเอก เราต้องสร้างของเราขึ้นมา แต่นี้ในเมื่อทางอันเอกมันยังไม่เกิดขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาไม่ได้ สภาวะมันเสื่อมไปๆ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความเสื่อมไปโดยธรรมดาของมัน

แต่สภาวะที่เห็นตามความเป็นจริง เห็นอนัตตาตามความเป็นจริง ต้องเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม สภาวะมันหลุดออกไปจากใจตามความเป็นจริง มันฆ่าออกไป มันหลุดออกไปจากใจ นั้นมันก็เป็นอนัตตาโดยความเห็น แต่อนัตตานี้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นตามสภาวะของมัน สภาวะของมันกับเราทำขึ้นมา เราเห็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม ธรรมที่สภาวธรรมเราเข้าไปเห็น มันถึงชำระกิเลส พอกิเลสมันขาดออกไป มันไม่เสื่อมอีกแล้ว

จากเดิมขึ้นมานี่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แล้วมันก็เสื่อมสภาวะไปๆ มันเป็นอนิจจังตลอดไป แม้แต่ธรรมที่เราสร้างขึ้นมามันก็เป็นอนิจจัง สมาธินี้ก็เป็นอนิจจัง เพราะมันเป็นกุปปธรรม มันเจริญขึ้นมาได้ มันก็เสื่อมได้ แล้วเวลากิเลสมันหลอกขึ้นมา “สภาวธรรมไม่มีแล้ว ทำขนาดเรา ทำขนาดนี้ก็ไม่มีแล้ว”...ทำขนาดเราขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดที่ว่าทรมาน สลบถึง ๓ หน ถึงจะเจอสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้

เราทำขนาดไหน ถึงว่าทำแล้วมันจะไม่ได้ผลขนาดนั้น มันจะท้อถอยขึ้นมา เพราะว่ามันเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเจริญขึ้นมานี้เราก็หลงไปกับมัน ถ้าเรามันเสื่อมขึ้นมาแล้วเราจะรู้สภาวะว่าอันนั้นมันเสื่อมไป นั้นมันยังหยุดไม่ได้ เพราะกิเลสมันยังอยู่ในหัวใจ หยุดจากความคิดของโลก แต่ไม่ได้หยุดกิเลสออกไปจากใจเลย จะหยุดกิเลสออกไปจากใจ ต้องค้นคว้าต้องขุดคุ้ยขึ้นมา ขุดคุ้ยขึ้นมาจนเห็นนะ ขุดคุ้ยขึ้นมาแล้วมันก็ยังมีการต่อสู้กัน ไต่สวนกัน กิเลสกับธรรมจะเจริญในหัวใจ วิปัสสนาเกิดขึ้นมาในหัวใจของสัตว์โลก หรือเกิดขึ้นมาจากผู้ปฏิบัติแล้ว มันเป็นงานขึ้นมา มันมีฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะขึ้นมา งานที่มันจะสนุกสนาน งานที่การกระทำแล้วมีกำไรขาดทุน คนที่เห็นว่ามีกำไรขึ้นมา มันจะพยายามขวนขวายเพื่อเป็นความชนะของเรา

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันจะพิจารณาขึ้นมา มันปล่อยวาง มันเวิ้งว้าง มีความสุขมาก มันจะเริ่มว่านี้เป็นผลขึ้นมา ผลนี้มันยืนยันกับใจ เป็นปัจจัตตัง รู้ในหัวใจนั้น หัวใจนั้นก็มีกำลังใจขึ้นมา นี่งานมันเกิดขึ้น มันก้าวเดินไป วิปัสสนาจะเกิดขึ้นแล้วมันจะมีความเพลิดเพลินไปในงานนั้น ถ้ามีแต่แพ้ๆ เอาอะไรมาสู้ล่ะ มันมีแต่ความท้อถอย ไม่มีความเข้มแข็งขึ้นมาเลย แต่ถ้ามีชนะบ้าง ชนะบ้างจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ได้ ถ้าเราพยายามขวนขวายของเรา เราขวนขวายของเรา

กำลังเกิดขึ้นจากใจ ใจมันเกิดกำลังขึ้นมา สมาธิเกิดขึ้นมานี่มีความสุข มีความก้าวหน้าขึ้นมา นี่เกิดขึ้นมาจากใจ ใจเท่านั้น ผลของธรรม ผลของธรรมจะสัมผัสได้ด้วยใจ ใจนี้จะสัมผัสได้ด้วยธรรม ด้วยมรรคอริสัจจัง ด้วยภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา ใจสัมผัสขึ้นไปตลอด แล้วมันเจริญขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก็พยายามพัฒนาขึ้นไป มันก็มีผลความสำเร็จขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วมันต้องชำระจนมันแยกออก จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ทุกข์เป็นทุกข์ สังโยชน์ที่มันผูกมัดอยู่มันต้องหลุดออกไป

สิ่งที่หลุดออกไป มันถึงว่ากิเลสมันโดนขุดออกมา แล้วใจจะหยุดนิ่งได้ส่วนหนึ่ง จนวิปัสสนาเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงที่สุดแล้วหยุดหมด หยุดแล้วใจนั้นก็ยังอยู่ สิ่งที่ยังเหลืออยู่นี้คือหัวใจ หัวใจที่พ้นจากกิเลส นี่ผู้ที่หยุดหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หยุดอย่างนี้ องคุลิมาลก็มาหยุดอย่างนี้ เข้าใจตามความเป็นจริง

องคุลิมาลหรือพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลไม่คัดค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกันหมด เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงเหมือนกันหมด เพราะสภาวะของใจเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่บารมีต่างกัน ว่าเป็นพระพุทธเจ้านี้บารมีสั่งสอน รู้ได้หมด แต่สาวกะผู้ที่เดินตามก็มีความเสมอกันด้วยความบริสุทธิ์ของใจ ถึงไม่คัดค้านกัน ถึงเป็นทางเดียวกัน ทางเดียวกันด้วยความบริสุทธิ์สะอาดอันนั้น

นี่หยุดใจอย่างนั้น เราต้องหยุดให้ได้ ถ้าเราหยุดได้ เราทำได้ เพราะเรามีหัวใจเหมือนกัน หัวใจของเรามีอยู่ แล้วเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วย ครูบาอาจารย์ชี้นำด้วย เราต้องก้าวถึงตรงนั้นได้ เอวัง